การล่าไคจู ในประวัติศาสตร์จริง ๆ

ตอนนี้หลายคนคงได้ดูหนังเรื่องคองกับก็อตซิล่ากันไปบ้างแล้ว แต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึง การล่าไคจู ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์เอาใจกระแสหนังที่กำลังมาแรงในขณะนี้กันค่ะ แต่ก่อนที่เรานั้นจะไปอ่านบทความที่น่าสนใจนี้ไม่อยากให้ทุกท่านพลาดเรื่อง กู้ชาติญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทุกท่านนั้นได้รู้ว่า อาหาร ก็สามารถกู้ชาติได้เช่นกัน

และเราเองก็ต้องขอขอบคุณทาง ufath168 ผู้สนับสนุนหลักของเราด้วยนะคะ ที่คอยอยู่เบื้องหลังการทำงานและสนับสนุนทีมงานของเรามาตลอด และก่อนที่เรานั้นจะไปอ่านบทความนี้หากทุกท่านนั้นสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไม่ว่าทั้งไทย หรือต่างประเทศ สามารถติตตามกันต่อได้ที่ ความรู้ทั่วไป เว็บไซต์อันดับหนึ่งด้วยนะคะ

การล่าไคจู ของจริงในประวัติศาสตร์ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

การล่าไคจู

หากพูดถึงก็อตซิล่า พูดถึงไคจู หรือสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ ๆ นี่นะคะ ปกตินั้นเราก็จะต้องนึกถึงหนัง นึกถึงการ์ตูนหรือเอนิเมะชันต่าง ๆ มากมายซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เป็นจริงใช่ไหมละคะ แต่ว่ายุคหนึ่งในประวัติศาสตร์นั้นเขาเชื่อกันแบบเป็นจริงเป็นจังเลยนะคะว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่บนโลกของเราจริง ๆ

เคยถึงขั้นที่ว่ารัฐบาลของสหรัฐอเมริการนั้นอนุมัติให้ตามหาไคจูตัวเป็น ๆ เลยนั่นเองค่ะ พูดมาถึงขนาดนี้แสดงว่าในยุคนั้นเขาคงตามล่ากันเป็นจริงเป็นจังแล้วคิดว่ามันมีอยู่จริง ๆ ด้วยนั่นเองใช่ไหมล่ะคะ ใครที่ดูหนังในจักรวาลไคจูหรือคองมานั้นคงจะมีคำถามกันใช่ไหมคะ

ว่าทำไมอยู่ดี ๆ พวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ถึงโผล่ขึ้นมาตามจุดต่าง ๆ บนโลกของเราได้แบบงง ๆ ซึ่งที่ผ่านมานั้นก็มีคนพยายามตั้งทฤษฎีว่าที่มันไปโผล่ตรงนั้นตรงนี้ได้นั้นเพราะมันอาจจะมุดลงไปยังพื้นใต้โลกแล้วโผล่ยังพื้นที่ที่มันต้องการจะไป เพราะถ้าเอาตามทฤษฎีนี้นะคะ

เขาเชื่อกันว่าใต้โลกของเรานั้นมีช่องกลวง ๆ ใหญ่ ๆ ไว้ให้สัตว์ประหลาดเหล่านี้คอยมุดไปมุดมาตามที่มันต้องการอยู่นั่นเองค่ะ ทฤษฎีนี้ไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาได้นะคะแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์เรานั้นเชื่อกันจริง ๆ และตั้งแนวคิดกันอย่างจริงจังมากเลยล่ะค่ะ

แล้วความคิดที่ว่าใต้โลกของเรามีช่องขนาดใหญ่ให้สัตว์ประหลาดนั้นมุดไปโผล่นั่นนี่ได้นี่มาจากไหนกัน ต้องขอย้อนกลับไปในคัมภีร์ของแทบจะทุกศาสนาก็มีการพูดถึงช่องว่างใต้โลกกันมาแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธของเราอย่าง นรกภูมิ ศาสนาฮินดูก็เช่นกัน อย่างศาสนายิวก็มีการพูดถึงเชโฮ เป็นต้น

แต่ถ้าจะให้ย้อนไปยุคนั้นมันก็ยังไม่มีข้อเท็จจริงอะไรที่จะทำให้คนยุคใหม่เชื่อได้ใช่ไหมคะ ทฤษฎีที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นช่วงที่เกิดในยุควิทยาศาสตร์แล้วนั่นเองค่ะ คนแรกที่มีความคิดนี้ขึ้นมาเลยก็คือ Edmond Halley นั่นเองค่ะ ในปี ค.ศ.1692 หลังจากที่ฮัลเลย์เขาคำนวณโลกตามสมการแคลคูลัสต่าง ๆ

แล้วเขานั้นรู้สึกว่าตัวเลขมันไม่ใช่เสียเลย เขาเลยได้เสนอทฤษฎีออกมาว่าที่จริงแล้วโลกของเรานั้นไม่ได้เป็นทรงตันอย่างที่เราคิด แต่ว่าโลกของเรานั้นมีช่องกลวงว่าง ๆ อยู่นั่นเอง เมื่อทฤษฎีมันเริ่มออกมาเรื่อย ๆ ก็มีคนที่เชื่อว่า John Cleves Symmes Jr.

เขานั้นเป็นคนที่คอยเดินทางไปยังมหาลัยต่าง ๆ เพื่อบรรยายทฤษฎีเหล่านี้จนวันหนึ่งเขาก็คลิกขึ้นมาในหัวของเขาเองว่า งั้นถ้าใต้โลกของเรามีช่องว่างอยู่จริง แสดงว่ามันต้องมีทางเข้าสิ เขาเลยจินตนาการขึ้นมาว่างั้นทางเข้าก็ต้องอยู่บริเวณขั้วโลก โดยเฉพาะขั้วโลกใต้

เพราะสมัยนั้นมนุษย์เรานั้นยังไม่รู้จักทวีปแอนตาร์กติกนั่นเอง ทางคุณจอห์นในขณะนั้นที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยได้เขียนโครงการเพื่อขอทุนกับทางสหรัฐอเมริกาเลยว่าจะนำทุนไปทำโครงการ สำรวจทางเข้าโลกเบื้องล่างที่ขั้วโลกใต้ ทางสภาอเมริกาในตอนนั้นก็ไม่ได้อนุมัติแต่อย่างใดนะคะ

แต่เรื่องยังไม่จบเท่านี้ค่ะ ยังมีคนชื่อว่า Jeremiah N. Reynolds หนุ่มไฟแรง มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคนอย่างมากเลยล่ะค่ะ และแน่นอนว่าเขาได้นำเรื่องนี้ไปโน้มน้าวให้กับประธานาธิปดีฟังด้วยนะ เขาได้เสนอโครงการใหม่ไปให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ชื่อโครงการคือสำรวจทะเลแปซิฟิกทางใต้

ซึ่งหัวข้อโครงการนั้นมีความเมคเซ้นมากกว่าคุณจอห์น ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นยอมควักเงินจ่ายให้กับเรื่องทฤษฎีนี้ไปสำรวจขั้วโลกใต้กันเลยทีเดียวค่ะ แต่การไปสำรวจในครั้งนี้ก็ได้ประโยชน์กลับมาให้โลกเราปัจจุบันมากมายเช่นกันค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบทวีปแอนตาร์กติกา ค้บพบซากฟอสซิลของสัตว์ในยุคน้ำแข็ง และอื่น ๆ อีกมากมาย ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้ข้อพิสูจน์ที่ว่ามีประตูที่จะพาลงไปยังใต้พิภพที่เชื่อว่ามีการอาศัยอยู่ของเหล่าไคจู ก็อตซิล่า และสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อีกมากมาย แต่ความคิดแบบนี้ก็ทำให้ทางรัฐบาลยอมจ่ายเงินจำนวนมากให้พวกเขาได้ออกสำรวจเช่นเดียวกันนั่นเองค่ะ